ในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจมาก การใช้ Big Data หรือข้อมูลขนาดใหญ่ ได้กลายเป็นเหมือนอาหารสมองแสนสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะในวงการโลจิสติกส์ ซึ่งทั้งการจัดการขนส่งและการจัดการคลังสินค้า ต่างก็ต้องพึ่งพาข้อมูลจำนวนปริมาณมหาศาลในการตัดสินใจ และการวางแผนเพื่อให้ออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากจากเซ็นเซอร์ในยานพาหนะ จากการสั่งซื้อของลูกค้า การติดตามสถานะการขนส่ง หรือแม้กระทั่งข้อมูลสภาพอากาศที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการขนส่ง
ดังนั้นการใช้ Big Data ในโลจิสติกส์ไม่เพียงแค่ช่วยให้สามารถตรวจสอบและติดตามสถานะของสินค้าในระบบขนส่งได้แบบเรียลไทม์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มต่าง ๆ จากการคาดการณ์ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แต่ยังช่วยในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำมาก ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า Big Data สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในวงการโลจิสติกส์ได้อย่างไรบ้าง และประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการใช้เจ้าสิ่งนี้คืออะไร
Big Data คืออะไร และทำไมสำคัญในโลกโลจิสติกส์?
Big Data หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ หมายถึง ชุดข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนจนไม่สามารถจัดการหรือประมวลผลได้ด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการข้อมูลปกติอย่างฐานข้อมูลทั่วไปภายในองค์กรค์ โดยข้อมูลเหล่านี้มักจะมีปริมาณที่มหาศาล ข้อมูลหลากหลาย และยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะดังนี้
- ข้อมูลที่มีปริมาณมาก (Volume) คือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีปริมาณมากเกินกว่าที่านระบบแบบดั้งเดิมทั่วไปจะจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากการซื้อขาย โซเชียล หรือจากเซ็นเตอร์
- ข้อมูลที่มีความหลากหลาย (Variety) คือข้อมูลที่มาจากหลายแหล่งที่มา ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความ เสียง ภาพ วีดีโอ หรือจากเซ็นเตอร์
- ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว (Velocity) คือ ข้อมูลที่อัพเดทและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น การอัปเดตข้อมลแบบเรียลไทม์ของกระบวรการขนส่ง
ในวงการอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ Big Data มีบทบาทสำคัญที่เป็นมากกว่าอาหารสมองในการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีของการดำเนินงาน เนื่องจากการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจหาทางออกที่ดีที่สุด และการเพิ่มประสิทธิภาพในอีกหลายด้าน ดังนี้
- การจัดการเส้นทางและการขนส่ง
Big Data ช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ GPS และข้อมูลจากการจราจรสามารถช่วยให้บริษัทโลจิสติกส์เลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ลดเวลาในการขนส่ง และลดต้นทุนการดำเนินการ โดยการช่วยประมวลผลข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น สภาพการจราจร สภาพอากาศ หรือแม้แต่ข้อมูลการขนส่งที่ผ่านมา
- การคาดการณ์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
โดยการวิเคราะห์ Big Data จากข้อมูลการสั่งซื้อ แนวโน้มทางการตลาด และพฤติกรรมของลูกค้า บริษัทสามารถพยากรณ์ความต้องการของลูกค้าได้แม่นยำขึ้น ทำให้การจัดการสต็อกและคลังสินค้าได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในยานพาหนะ เช่น ระดับน้ำมัน ประเภทรถขนส่ง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน เพื่อแจ้งเตือนก่อนที่จะเสียหาย
- การจัดการสินค้าคงคลัง
ด้วยการใช้ Big Data ในการติดตามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลังในเวลาจริง (Real-time Inventory Tracking) บริษัทสามารถลดปัญหาสินค้าหมดสต็อค หรือสินค้าล้นคลังได้
- การปรับปรุงการให้บริการลูกค้า
โดยการวิเคราะห์ Big Data บริษัทสามารถเสนอประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เช่น การจัดหาเส้นทางที่รวดเร็วที่สุด การคำนวณเวลาในการจัดส่งที่แม่นยำเป็นต้น
- การวิเคราะห์ต้นทุน
Big Data สามารถช่วยในการระบุส่วนที่มีค่าใช้จ่ายสูง และสามารถหาวิธีลดต้นทุนได้ เช่น การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของรถขนส่ง การเลือกเส้นทาง และการประหยัดเชื้อเพลิง
การใช้ Big Data ในการบริหารขนส่ง
สำหรับการใช้ Big data ในการบริหารกระบวนการขนส่ง เป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเพื่อรองรับความต้องการของตลาดออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการนำข้อมูลในปริมาณมหาศาลนี้จากหลายแหล่งมาใช้เพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการขนส่ง ดังนี้
- วิเคราะห์เส้นทางขนส่ง (Route Optimization)
การใช้ Big Data ในการวิเคราะห์เส้นทางขนส่ง ช่วยให้สามารถหาทางเลือกที่ดีที่สุดในการขนส่งสินค้า ซึ่งไม่เพียงแค่ดูจากระยะทาง แต่ระบบจะคำนวณเส้นทางที่สั้นที่สุดและหลีกเลี่ยงการจราจรหนาแน่น ช่วยประหยัดทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพการใช้รถด้วยตารางการทำงาน ลดต้นทุนเชื้อเพลิง
นอกจากนั้นยังพิจารณาสภาพอากาศ ทั้งลมฝน หรือพายุ ในเส้นทางขนส่งที่อาจมีผลกระทบต่อความเร็วในการเดินทาง และความปลอดภัยของสินค้าไม่ให้เกิดความเสียหาย
- คาดการณ์ความต้องการสินค้า (Demand Forecasting)
การคาดการณ์ความต้องการสินค้าด้วย Big Data ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นตามแนวโน้มความต้องการของตลาด ด้วยข้อมูลการขายที่ผ่านมา สำรวจข้อมูลจากแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือแม้แต่ช่วงโปรโมชั่นของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์ปริมาณสินค้าในช่วงเวลาต่าง ๆ ได้แม่นยำ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับสินค้าในปริมาณมหาศาลในช่วงนั้น
- ลดต้นทุนด้วยข้อมูลเชิงลึก
สำหรับการลดต้นทุนด้วยข้อมูลเชิงลึกด้วย Big Data แน่นอนว่าสามารถช่วยได้ในทุกกระบวนการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเส้นทางขนส่งและยานพาหนะ ให้สามารถเลือกเส้นทางที่ประหยัดน้ำมัน จัดการเวลาในการขนส่งให้กระชับที่สุด และนอกจากการจัดการเส้นทางแล้วยังช่วยบริหารจัดการคลังสินค้า ให้สามารถคำนวณพื้นที่จัดเก็บสินค้าให้คุ้มค่าที่สุด และยังดการคลังสินค้าและสต็อก ด้วยการคาดการณ์ความต้องการสินค้าอย่างแม่นยำ
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกยังสามารถช่วยในการตรวจสอบประสิทธิภาพของแต่ละขั้นตอนในการขนส่ง โดยการเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เวลาที่ใช้ และระดับความพึงพอใจของลูกค้า เพื่อหาวิธีที่สามารถปรับปรุงกระบวนการขนส่งได้ดีที่สุด
AI และ Machine Learning กับการใช้ Big Data ในโลจิสติกส์
สำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ AI และ Machine Learning ในมีบทบาทสำคัญเปรียบเสมือนสมองกลในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกาทำงานและลดต้นทุน โดยเฉพาะการจัดการ Big Data ที่เป็นข้อมูลจำนวนมหาศาลจากการขนส่งและคลังสินค้าในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ให้ธุรกิจโลจิสติกส์สามารถใช้ข้อมูลส่วนนี้ในการตัดสินใจได้เร็วและแม่นยำมากขึ้น เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่ามีประโยชน์ยังไงบ้างครับ
- คาดการณ์และปรับเส้นทางการขนส่ง AI และ Machine Learning สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องคำนวณแบบดั้งเดิม
- คาดการณ์ความต้องการสินค้า โดยการใช้ข้อมูลการขายในอดีต หรือช่วงเทศกาลโปรโมชั่น ช่วยให้วางแผนการขนส่ง และจัดการสต็อกได้ดียิ่งขึ้น
- การตรวจจับและลดข้อผิดพลาด Machine Learning สามารถตรวจจับข้อผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในระบบขนส่ง ช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
- ดูแลจัดการคลังสินค้า การเลือกพื้นที่ในการเก็บสินค้าให้เหมาะสมกับสินค้า ลดเวลาในการค้นหา และช่วยให้การจัดการสินค้าง่ายขึ้น
- การบริการลูกค้า ด้วยการแจ้งสถานะการขนส่งหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขนส่ง หรือการติดตามสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์
- ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ จากการวิเคราะห์ข้อมูลและค้นหาวิธีการที่ดีที่สุดในการลดต้นทุน
กรณีศึกษา ธุรกิจที่ใช้ Big Data แล้วได้ผลลัพธ์จริง
หากอธิบายง่าย ๆ อยากให้ลองนึกภาพว่าเราใช้ Big Data ในธุรกิจโลจิสติกส์ได้ผลลัพธ์จริง เจ๋งขึ้น และทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งยกตัวอย่างบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, DHL และ Acropolium ดังนี้
ที่เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซที่เริ่มต้นจากการขายหนังสือออนไลน์ แต่ตอนนี้มีการขายสินค้าหลายประเภท ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุด และมีอิทธิพลทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า Amazon ใช้ Big Data ในการทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ใช้ข้อมูลการสั่งซื้อ และเทรนด์ต่าง ๆ ในการคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อรองรับการจัดการเส้นทางการขนส่ง และยังใช้หุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับ AI ในการย้าย และจัดการสินค้าในคลัง ทำให้การขนส่งสินค้าเร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น
แน่นอนว่าทำให้การจัดการสินค้า และการขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็ว และ Amazon เองก็สามารถลดต้นทุนได้อีกด้วย
บริษัทที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ และการขนส่งทั่วโลก เป็นหนึ่งในบริษัทโลจิสติกส์ที่ได้รับการไว้วางใจจากลูกค้ามากมายจากขนส่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลก โดยเฉพาะในด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นขนส่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความไวเลยทีเดียว
จากการใช้ Big Data ในการปรับปรุงการขนส่งและโลจิสติกส์ ในการคำนวณการจราจรและเซ็นเซอร์ GPS ซึ่งแน่นอนว่า DHL สามารถเลือกเส้นทางที่ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ช่วยลดระยะเวลาการขนส่งและลดต้นทุน และยังประมวลถึงแนวโน้มตลาด เพื่อคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่ต้องขนส่ง ทำให้วางแผนได้ดีขึ้นต่อให้สินค้ามีปริมาณมาก และรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม
เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) โดยเฉพาะในด้าน ช่วยออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชันที่สามารถรองรับความต้องการเฉพาะของลูกค้าในธุรกิจต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และสร้างโซลูชันที่มีความยืดหยุ่น เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า
เป็นบริษัทที่ช่วยองค์กรต่าง ๆ ในการใช้ Big Data และ AI เพื่อการพัฒนาการจัดการโลจิสติกส์และการขนส่ง พัฒนาโซลูชัน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ปรับปรุงการจัดเก็บและการเคลื่อนย้ายสินค้าในคลัง ให้สามารถจัดการคลังสินค้าได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวโน้มและเทคโนโลยีที่ต้องจับตามอง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาปฏิวัติวิธีการทำงาน และการใช้ชีวิตของเรามากมายแล้ว ตั้งแต่การใช้ AI ที่ช่วยให้การตัดสินใจเร็วขึ้น ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้โลกของเราเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น ซึ่งในปี 2025 และอนาคตอันใกล้ แนวโน้มและเทคโนโลยีเหล่านี้จะไม่หยุดพัฒนาแน่นอนครับ และจะส่งผลมากมายต่อทั้งธุรกิจและชีวิตประจำวันของเรา
เทคโนโลยีที่เราควรจับตามองในตอนนี้เริ่มมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น AI ที่ใช้ในงานต่าง ๆ หรืออินเทอร์เน็ตที่ทำให้ทุกอย่างสามารถเชื่อมต่อกันได้แบบไร้ขอบเขต รวมไปถึงเทคโนโลยี 5G ที่จะทำให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้นหลายเท่าตัว และยังมีเทคโนโลยีที่ยังอยู่ในช่วงการพัฒนา เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม ที่เปลี่ยนแปลงวิธีการประมวลผลข้อมูลไปอย่างสิ้นเชิง
การใช้ Big Data และ Analytics ในโลจิสติกส์จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจำนวนมากที่เกิดขึ้นจากการขนส่ง ให้ธุรกิจสามารถมองเห็นปัญหาหรือโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการและลดต้นทุน การติดตามสินค้า หรือข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ข้อมูลเหล่านี้จะนำมาช่วยในการตัดสินใจที่ดีขึ้น เช่น การเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดในการขนส่ง หรือคาดการณ์ความต้องการของตลาด
การใช้ IoT (Internet of Things) ในการติดตามขนส่งแบบเรียลไทม์ ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโลกของธุรกิจโลจิสติกส์เลยก็ว่าได้ เพราะแทนที่จะต้องคาดเดาว่าสินค้าไปถึงไหนแล้ว หรืออยู่ที่ไหนตอนนี้ นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบข้อมูลแบบ คลาวด์ หรือ แพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และสามารถติดตามตำแหน่งของสินค้าหรือรถขนส่งได้แบบเรียลไทม์เลยนั่นเอง
นอกจากนั้นยังมี Blockchain หนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจ ด้วยการสร้างความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและการจัดการข้อมูลที่โปร่งใส ทำให้สามารถลดความเสี่ยงในการทุจริตและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
สิ่งที่ทำให้เทคโนโลยีเหล่านี้น่าสนใจไม่ใช่แค่ความล้ำหน้าทางเทคนิค แต่ยังรวมถึงวิธีที่มันจะเข้ามามีบทบาทในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขนส่งที่ปลอดภัยขึ้น การรักษาสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปอย่างสิ้นเชิงนั่นเองครับ