ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่ข้อมูลมีอยู่รอบตัวและถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกวินาที ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากมือถือ การสั่งของออนไลน์ การขนส่งสินค้า หรือแม้แต่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย ข้อมูลทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่า “Big Data” ซึ่งในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกภาคส่วนของธุรกิจ “Big Data” ก็ได้กลายเป็นหัวใจหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงาน และช่วยให้มองเห็นภาพเพื่อการตัดสินใจในองค์กร
หนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จาก Big Data อย่างชัดเจน คือ ธุรกิจโลจิสติกส์ (Logistics) ซึ่งเป็นระบบการบริหารจัดการการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ และข้อมูลจากต้นทางไปยังปลายทาง แน่นอนว่าในวงการโลจิสติกส์ หรือการขนส่งและจัดการสินค้า Big Data เข้ามามีบทบาทสำคัญมาก เพราะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ทำงานได้แม่นยำขึ้น วางแผนได้ดีขึ้น และตอบสนองลูกค้าได้เร็วขึ้นกว่าเดิม เช่น เดิมบริษัทขนส่งอาจต้องเดาทางลมฟ้าอากาศ หรือคาดเดาว่าจะมีคนสั่งของมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน แต่ทุกวันนี้บริษัทสามารถใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น เส้นทางการจราจรแบบเรียลไทม์ พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า หรือแม้แต่ข้อมูลจากรถขนส่งที่ติด GPS เพื่อวางแผนให้การขนส่งมีประสิทธิภาพที่สุด
นอกจากนี้ Big Data ยังช่วยให้บริษัทสามารถ คาดการณ์ล่วงหน้า ได้ เช่น สินค้าชิ้นไหนจะขายดีช่วงสิ้นปี หรือเส้นทางไหนที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยลดต้นทุน ลดความล่าช้า และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นธุจกิจยักษ์ใหญ่หรืออีคอมเมิร์ซรายย่อย ต่างก็ใช้ Big Data ในการขับเคลื่อนงานโลจิสติกส์ทั้งนั้น เพราะช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น แม่นยำขึ้น และแข่งขันกับคนอื่นได้ดีขึ้น ส่วนในประเทศไทย ธุรกิจส่งของที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายออนไลน์ก็เริ่มนำ Big Data มาใช้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะช่วงที่ยอดสั่งซื้อเยอะ ๆ ดังนั้นในบทความนี้เราจะพามาเจาะลึกการใช้ Big Data ในระบบขนส่งยุคใหม่ พร้อมสรุป 5 เทรนด์เทคโนโลยีโลจิสติกส์ที่ธุรกิจต้องรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในปี 2025 แบบฉบับเข้าใจง่ายกันครับ
Big Data คืออะไร? ทำไมถึงสำคัญกับโลจิสติกส์ยุคใหม่
Big Data หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นชุดข้อมูลที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนจน มีปริมาณมาก จนไม่สามารถจัดการด้วยวิธีปกติแบบเดิมได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากหลายแหล่งในปริมาณที่มหาศาล และยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เช่น ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ข้อมูลจากระบบ GPS ข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย หรือข้อมูลจากการสั่งซื้อ การขนส่ง หรือระบบ ERP ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะดังนี้
- ข้อมูลที่มีปริมาณมาก (Volume) คือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ มีปริมาณมากเกินกว่าที่านระบบแบบดั้งเดิมทั่วไปจะจัดการได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากการซื้อขาย โซเชียล หรือจากเซ็นเตอร์
- ข้อมูลที่มีความหลากหลาย (Variety) คือข้อมูลที่มาจากหลายแหล่งที่มา ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความ เสียง ภาพ วีดีโอ หรือจากเซ็นเตอร์
- ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว (Velocity) คือ ข้อมูลที่อัพเดทและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เช่น การอัปเดตข้อมลแบบเรียลไทม์ของกระบวรการขนส่ง
สำหรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ Big Data มีบทบาทสำคัญที่เป็นมากกว่าอาหารสมองในการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่ง ด้วยการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตัดสินใจ สำหรับการหาทางออกที่ดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีของการดำเนินงาน และการเพิ่มประสิทธิภาพในงาน ดังนั้นมาดูกันว่าทำไมถึงสำคัญกับโลจิสติกส์ยุคใหม่
- การวางแผนเส้นทางอย่างชาญฉลาด (Smart Routing)
ใช้ข้อมูลจราจร สภาพอากาศ ความหนาแน่นของถนนในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด ประหยัดเวลา และต้นทุนในการขนส่ง โดยอาจวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ GPS และอีกหลายแหล่ง เพื่อช่วยประมวลผลข้อมูล
- การคาดการณ์ความต้องการ (Demand Forecasting)
Big Data ช่วยให้บริษัทสามารถคาดการณ์ความต้องการสินค้าจากข้อมูลยอดขายในอดีต พฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ตลาด และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า ด้วย Machine Learning และ AI ธุรกิจสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้แม่นยำ เช่น เพิ่มสต็อกในพื้นที่ที่มีแนวโน้มขายดี หรือจัดตารางการจัดส่งให้ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้า
นอกจากนั้นยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในยานพาหนะ เช่น ระดับน้ำมัน ประเภทรถขนส่ง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน เพื่อแจ้งเตือนก่อนที่จะเสียหาย ลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจบานปลายในอนาคตได้
- Predictive Maintenance สำหรับยานพาหนะ
แทนที่จะรอให้รถเสียคาถนนระบบ Big Data สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ บนรถ เพื่อคาดการณ์ว่าเครื่องยนต์จะมีปัญหาเมื่อไร แล้ววางแผนบำรุงรักษาก่อนจะเกิดเหตุ ช่วยลด Downtime และต้นทุนซ่อมแซม พร้อมยืดอายุการใช้งานของยานพาหนะ
- การรวมข้อมูลจาก IoT และระบบ TMS/WMS
ระบบ IoT เช่น RFID และเซ็นเซอร์อุณหภูมิ สามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ไปยังระบบ TMS และ WMS เพื่อให้การจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ช่วยให้สามารถติดตามสถานะสินค้าได้ทุกขั้นตอน เพิ่มความโปร่งใส และลดความผิดพลาดในการดำเนินงานได้อีกด้วย
- การบริหารจัดการคลังสินค้า (Warehouse Optimization)
ใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของสินค้าในคลัง ช่วยวางผังคลังสินค้าใหม่ให้ง่ายต่อการหยิบจับ และลดเวลาในการดำเนินงาน
- การตรวจสอบแบบ Real-Time
ติดตามสถานะของพัสดุ หรือยานพาหนะผ่าน IoT และ Big Data เพื่อให้ผู้จัดส่งและลูกค้ารู้สถานะทุกขั้นตอน
- การลดต้นทุน
ข้อมูลจาก Big Data ช่วยค้นหาจุดรั่วไหลในระบบโลจิสติกส์ เช่น ความล่าช้า ค่าสึกหรอของรถ หรือสินค้าที่ไม่คุ้มค่าต่อการขนส่ง
5 เทรนด์ Big Data ที่กำลังเปลี่ยนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์
- การคาดการณ์ความต้องการสินค้าแบบเรียลไทม์
Big Data ช่วยให้บริษัทสามารถคาดการณ์ความต้องการสินค้าจากข้อมูลยอดขายในอดีต พฤติกรรมผู้บริโภค เทรนด์ตลาด และปัจจัยภายนอก เช่น สภาพอากาศหรือเหตุการณ์เฉพาะหน้า ด้วย Machine Learning และ AI ธุรกิจสามารถเตรียมการล่วงหน้าได้แม่นยำ เช่น เพิ่มสต็อกในพื้นที่ที่มีแนวโน้มขายดี หรือจัดตารางการจัดส่งให้ตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้า
ลองนึกภาพเวลาคนแห่กันไปซื้อของช่วงโปรโมชั่น เช่น ช่วงโปรโมชั่น 11.11 ตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือช่วงใกล้ปีใหม่ ถ้าร้านค้าไม่รู้ล่วงหน้าว่าคนจะซื้ออะไรเยอะ ๆ ก็มักจะเกิดปัญหา เช่น สินค้าขาด สั่งไม่ทัน หรือของล้นสต็อกจนขายไม่ออก ดังนั้นการคาดการณ์ความต้องการสินค้าแบบเรียลไทม์ ก็คือการใช้ข้อมูลสด ๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เช่น ใครกำลังค้นหาสินค้าอะไร คนคลิกดูสินค้าชิ้นไหนบ่อย ยอดขายตอนนี้พุ่งขึ้นตรงไหน มีเทศกาลอะไรใกล้เข้ามาแล้วเอาข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์และวางแผนรับมือ
- การจัดเส้นทางการขนส่งอัตโนมัติด้วยข้อมูล
การใช้ Big Data จาก GPS และ IoT ทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์สภาพการจราจร สภาพอากาศ และอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ระบบสามารถแนะนำเส้นทางที่ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน และปลอดภัยที่สุด โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งได้อย่างชัดเจน
พูดง่าย ๆ คือ การใช้ข้อมูลจำนวนมากมาช่วยคิดแทนคนขับ หรือวางแผนแทนทีมขนส่งว่า ควรขับรถไปเส้นทางไหนก่อน หลัง ส่งของที่ไหนก่อน หรือควรเลี่ยงถนนเส้นไหนที่กำลังรถติดอยู่
- Predictive Maintenance สำหรับยานพาหนะ
Predictive Maintenance คือการใช้ข้อมูลมาช่วยทำนายว่ารถหรืออุปกรณ์จะเสียตอนไหน แล้วทำถึงเวลาในการซ่อมแซมก่อนที่มันจะพังจริง ๆ เมื่อไหร่ แทนที่จะรอให้รถเสียคาถนน ระบบ Big Data สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ บนรถ เพื่อคาดการณ์ว่าเครื่องยนต์จะมีปัญหาเมื่อไร แล้ววางแผนบำรุงรักษาก่อนจะเกิดเหตุ ช่วยลด Downtime และต้นทุนซ่อมแซม พร้อมยืดอายุการใช้งานของยานพาหนะ
- การวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าใน B2B Logistics
ในยุคที่ลูกค้า B2B ต้องการบริการที่เฉพาะตัวมากขึ้น Big Data เองก็เข้ามาช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เช่น รูปแบบการสั่งซื้อ ความถี่ในการจัดส่ง เวลาที่ชอบรับของ หรือประเภทสินค้าที่สั่งซ้ำ จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับแต่งบริการให้เหมาะสมกับลูกค้าแบบรายบุคคล (Personalization)
- การรวมข้อมูลจาก IoT และระบบ TMS ระบบ WMS
ระบบ IoT เช่น RFID และเซ็นเซอร์อุณหภูมิ สามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ไปยังระบบ TMS และ WMS เพื่อให้การจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งเป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด ช่วยให้สามารถติดตามสถานะสินค้าได้ทุกขั้นตอน เพิ่มความโปร่งใสและลดความผิดพลาดในการดำเนินงาน
ธุรกิจขนส่งควรเริ่มใช้ Big Data อย่างไรให้เห็นผล
- เริ่มจากจุดเล็ก : อาจเป็นการเริ่มจากการมองหาปัญหาหรือจุดที่อยากพัฒนา เพราะก่อนจะวิ่งหาเทคโนโลยี ให้ถามตัวเองก่อนว่ารถออกวิ่งทุกวันแต่ทำไมยังส่งของล่าช้า ทำไมถึงไม่รู้ว่าสินค้าไหนขายดีในช่วงไหน ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดใหญ่ตั้งแต่แรก เริ่มจากระบบง่าย ๆ เช่น ติด GPS หรือใช้ระบบ TMS ที่มีฟีเจอร์วิเคราะห์ข้อมูล พอรู้ว่าปัญหาคืออะไร ก็ค่อยใช้ Big Data มาช่วยแก้เฉพาะจุดดีกว่าไปลงทุนทั้งระบบแบบไม่รู้จะใช้ยังไง
- เริ่มเก็บรวบรวมข้อมูล : เพราะข้อมูลคือหัวใจของ Big Data ถ้าไม่มีข้อมูลดี ๆ ระบบวิเคราะห์ก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ธุรกิจขนส่งควรเริ่มเก็บ คือ ข้อมูลการเดินรถ ข้อมูลการส่งสินค้า ข้อมูลค่าใช้จ่าย ข้อมูลออเดอร์จากลูกค้า ข้อมูลคลังสินค้าและสต็อก ซึ่งสามารถเก็บไว้ในรูปแบบที่วิเคราะห์ต่อได้ เช่น Excel, Google Sheets หรือระบบจัดการ TMS/WMS
- ลงทุนในระบบที่เชื่อมต่อได้ : เลือกระบบที่สามารถเชื่อมกับ IoT, ERP, หรือ CRM เพื่อรวมข้อมูลหลายแหล่ง
- วางกลยุทธ์จากข้อมูล : ใช้ข้อมูลเพื่อวางแผนอย่างมีหลักการ ไม่ใช่แค่เก็บไว้ดู แต่ใช้ซอฟต์แวร์หรือเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การนำข้อมูลที่ได้มาแสดงกราฟ หรือในรูปแบบที่สามารถวิเคราะห์ได้ง่าย หรือใช้บริการของบริษัทที่ทำ Data Analytics โดยเฉพาะ เช่น ระบบ WMS หรือ TMS ที่มีฟังก์ชันวิเคราะห์ในตัว
- อบรมทีมงานให้เข้าใจข้อมูล : ข้อมูลไม่มีค่า หากไม่มีคนที่สามารถตีความและใช้มันเพื่อวางแผนหรือปรับปรุงกระบวนการ ทำให้คนในองค์กรข้าใจว่าข้อมูลไม่ใช่เรื่องของแค่ฝ่ายไอที เช่น คนขับรถควรรู้ว่าการบันทึกเส้นทางจะช่วยให้เขาทำงานได้ดีขึ้น พนักงานคลังควรรู้ว่าการเก็บข้อมูลตำแหน่งสินค้าช่วยลดการหาของผิด ทีมบริการลูกค้าควรรู้ว่าข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าช่วยให้บริการได้ตรงจุด เป็นต้น
ระบบ TMS จาก 360TECHX
ระบบ TMS จาก “360TECHX” เครื่องมือที่ใช้งานง่าย แต่ทรงพลัง ช่วยให้ธุรกิจขนส่งสามารถบริหารจัดการงานขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มความแม่นยำ บริหารจัดการข้อมูล งานขนส่งครบ จบในระบบเดียว วางแผนและจัดการบริการงานขนส่ง สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ รองรับกระบวนการทำงานระบบ ERP ชั้นนำระดับโลก โดยปรับแต่งระบบ (CUSTOMIZATION) ให้เหมาะสมกับธุรกิจขนาดใหญ่ ไม่พลาดฟีเจอร์สำคัญ และบริการใหม่ ๆ เชื่อมต่อการขนส่งธุรกิจกับโลกภายนอกอย่างไร้รอยต่อ ช่วยออกแบบระบบ และกระบวนการทำงานเป็นมาตรฐาน บริหารจัดการ ECOSYSTEM การขนส่งของคุณแบบออนไลน์ 100% รองรับการใช้งานร่วมกับ 360TRUCK
ด้วยการการจัดการออเดอร์และงานขนส่ง ที่รองรับรูปแบบการขนส่งที่หลากหลาย เช่น การขนส่งเต็มคันรถ (FTL) การขนส่งแบบรวมเที่ยว (LTL) และการขนส่งแบบล็อตขนาดใหญ่ พร้อมทั้งประหยัดเวลาและเชื้อเพลิง ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และสามารถติดตามสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน ลดขั้นตอนในการเตรียมเอกสารในการจัดส่งสินค้า
ไม่ว่าคุณจะเป็นบริษัทขนส่ง ธุรกิจค้าปลีก หรือแม้แต่ร้านค้าออนไลน์ ถ้าต้องส่งของเป็นประจำ TMS จะช่วยให้ทุกอย่างลื่นไหลขึ้น จัดส่งได้แม่นยำ ตรงเวลา และที่สำคัญคือ ประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนแบบสุด ๆ ระบบจัดการขนส่งที่ช่วยให้การวางแผน ควบคุม และติดตามการขนส่งเป็นเรื่องง่ายขึ้น เปลี่ยนวิธีบริหารงานขนส่งให้ทันสมัยขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น “360TECHX” เหมาะสำหรับการส่งสินค้าขนาดจำนวนมาก ผ่านรถบรรทุก โดยสามารถรองรับรถบรรทุกทุกประเภท ทั้ง 4 ล้อ, 6 ล้อ และรถเทรลเลอร์ โดย 360TECHX TMS รองรับการการบริหารรถบรรทุก ทุกประเภทรถอีกด้วย ดังนั้นหากใครที่กำลังมองหาระบบ TMS ที่ดีและน่าเชื่อถือ 360TECHX เป็นตัวเลือกที่มีคุณภาพ ทีมงานยินดีให้บริการด้วยใจ สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาครับ
สรุป Big Data ขับเคลื่อนโลจิสติกส์อย่างไรในปี 2025
Big Data ไม่ได้เป็นแค่กระแส แต่เป็นพลังสำคัญที่เปลี่ยนแปลงวงการโลจิสติกส์ในทุกมิติ ทั้งในด้านความแม่นยำ ความเร็ว ความโปร่งใส และการลดต้นทุน ใครที่สามารถใช้ Big Data ก็จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมหาศาล
สำหรับในปี 2025 การใช้ Big Data ในธุรกิจโลจิสติกส์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการขนส่งและจัดการคลังสินค้า ตั้งแต่การคาดการณ์ความต้องการสินค้า การจัดเส้นทางขนส่งอัตโนมัติ ไปจนถึงการบำรุงรักษายานพาหนะล่วงหน้า ทุกการตัดสินใจสามารถทำได้จากข้อมูลที่แม่นยำและทันสมัย ซึ่งช่วยลดต้นทุนและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การนำ Big Data มาใช้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจโลจิสติกส์สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว โดยสามารถเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ทั้งในการปรับปรุงบริการ และการบริหารจัดการทรัพยากร ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นธุรกิจโลจิสติกส์จึงควรเริ่มใช้ Big Data เพื่อสร้างความเหนือชั้นในการแข่งขัน และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตสู่การข้าวเข้าสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าเดิม